สง่ามอเตอร์

บทความ

12 วิธีรักษาระบบแอร์รถยนต์

02-03-2563 17:30:05น.

1.  เกิดคราบน้ำมันบริเวณข้อต่อต่าง ๆอย่าใว้ใจ

      คราบน้ำมันตามข้อต่อที่พบจะเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีการรั่วของสารทำความเย็นเกิดขึ้น  ดังนั้นท่านเจ้าของรถควรสังเกตุดูว่าตามข้อต่อระหว่างชิ้นส่วนต่างๆในระบบแอร์มีคราบน้ำมันหรือไม่  เพราะน้ำมันคอมเพรสเซอร์จะปนอยู่กับสารทำความเย็นในระบบดังนั้นเมื่อสารทำความเย็นรั่วก็จะเกิดคราบน้ำมันปรากฎให้เห็น  วิธีแก้ไขเบี้องต้นคือถ้าพบจุดรั่ว    หรือคราบน้ำมันต้องทำการขันข้อต่อให้แน่นเพื่อที่จะหยุดการรั่วของสารทำความเย็น จุดที่สามารถพบเห็นการรั่วได้บ่อยๆ คือ ตามจุดข้อต่อต่าง ๆ ของท่อแอร์  ตามซีลและปะเก็นขอคอมเพรสเซอร์ ถ้าไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้หรือไม่มั่นใจว่าแก้ไขได้เรียบร้อยควรนำรถไปให้ผู้เชี่ยวชาญหรือร้านแอร์ที่ท่านสามารถไว้วางใจได้ตรวจเช็ค

2. พบอาการ compressor air ตัดบ่อย

       สาเหตุมักเกิดจากตัวเทอร์โมสตรัทหรืออุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ    เพราะในปัจจุบันรถยนต์มักใช้เทอร์โมสตรัทแบบอิเล็กทรอนิกส์(Electronics Type) ซึ่งไวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง   ข้อดีของเทอโมสตรัทชนิดนี้คือการทำงานจะแม่นยำและละเอียดกว่าแบบอื่น ๆ  หากท่านนำรถไปล้างตู้แอร์ซึ่งเพื่อความสะอาดช่างจำเป็นต้องทำการถอดชิ้นส่วนต่างๆออกจากกัน    แต่ช่างบางท่านที่ไม่ชำนาญอาจถอดออกแล้วติดตั้งคืนไม่ถูกตำแหน่งเดิม   อาจติดตั้งตัววัดอุณหภูมิชิดกับครีบอีแวปพอเรเตอร์มากเกินไปหรือติดตั้งตัววัดอุณหภูมิในตำแหน่งที่ต่ำกว่าจุดอื่น  ๆ ของอีแวปพอเรเตอร์ทำให้เมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงาน    โดยเฉพาะในเวลาที่รอบเครื่องสูง ๆจะเกิดอาการตัดบ่อยส่งผลต่อการทำงานของระบบแอร์

3.   เจอรอยรั่วหลังแปลงระบบ

    หากรถของท่านมีระบบเป็น R12 และเปลี่ยนระบบเป็น R134 จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนซีลยางและโอริงทุก ๆตัว โดยซีลยางในคอมเพรสเซอร์ระบบเดิมๆเป็น R12  จะเป็นชนิด NBR(Nitrile Butadiene Rubber) แต่ของระบบ R134a จะเป็นชนิด HNBR ซึ่งหากเปลี่ยนระบบใหม่แล้ว   ไม่เปลี่ยนซิลและโอริงด้วยก็จะทำให้ระบบเกิดการรั่วตามมาได้

 

4.  ควรล้างตู้แอร์เมื่อไหร่?

   หลายท่านสงสัยว่าการล้างทำความสะอาดตู้แอร์สักครั้งจะใช้เงื่อนไขของเวลา หรือระยะทางดีเพราะรถยนต์แต่ละคันก็ผ่านการใช้งานต่างกันบางคันใช้งานมาแค่ปีเดียวแต่วิ่งเป็นระยะทางกว่า 100,000 กม.ในขณะบางคัน 1 ปีอาจใช้งานแค่ 10,000 กม.ก็มีดังนั้นหากใช้เกณฑ์เฉลี่ยจึงขอแนะนำท่านเจ้าของรถว่าควรทำการล้างตู้แอร์ประมาณทุก ๆ 1 ปี หรือราวๆ 20,000 กม.  แนะนำให้ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ด้วยพร้อมกันเลย  เพื่อยืดอายุการใช้งานของระบบแอร์รถยนต์ให้ยาวนาน 

5.  ควรเปลี่ยนวาล์วแอร์ตอนไหนถึงจะเหมาะ

     ไม่มีอะไรที่บอกได้แบบเฉพาะเจาะจงว่าต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อไหร่    เพราะอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างเอ็กซ์แพนชั่นวาล์วทางผู้ผลิตรถแนะนำเอาไว้ที่ระยะทางประมาณ50,000 กม. หรือเป็นเวลาประมาณ2 ปีกว่า  เอ็กซ์แพนชั่นวาล์วนั้นหากมีปัญหาระบบปรับอากาศรถยนต์จะมีปัญหาตามมามาก  บางทีอาจส่งผลต่อระบบการฉีดสารทำความเย็นทำให้เกิดการผิดพลาดได้    นอกจากนั้นสาเหตุสำคัญที่มักจะเสียหายคือการอุดตันบางครั้งเกิดจากการเสื่อมของสปริงภายในตัววาล์ว  แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ไปเลยครับ อย่าฝืนใช้เพราะถ้าหากมันงอแงขึ้นมาก็ต้องเสียเวลาในการถอดเปลี่ยนอยู่ดี


6. ควรเปลี่ยนดรายเออร์รีซีฟเวอร์เมื่อไรดี ?

         ดรายเออร์มีหน้าที่กรองสิ่งสกปรกในระบบปรับอากาศโดยกรองสิ่งสกปรกที่ปะปนมาพร้อมๆ

กันกับสารทำความเย็นในระบบนอกจากนั้นยังมีหน้าที่ดูดความชื้นที่เกิดขึ้นในระบบแล้วมาเก็บใว้ที่กระบอกของตัวเอง  ซึ่งสารดูดความชื้นนี้ก็มีวันหมดอายุเมื่อถึงจุดอิ่มตัว  โดยแนะนำให้เปลี่ยนทุกๆระยะทางประมาณ 30,000 กม. หรือทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์

7.  ปัญหาคลัตซ์แอร์ผิดปรกติ

     การขับรถลุยน้ำบ่อยๆนั้น  อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คลัตซ์คอมแอร์เป็นสนิมได้  และอาการแมก

เนติกคลัตซ์มีการลื่นไถลหรือมีการตัดต่อบ่อย   อาจจะไม่เกี่ยวกับการตั้งอุณหภูมิแต่อาการลื่นไถลอาจมาจากความสกปรกของหน้าสัมผัส เช่นเป็นสนิมหรือมีวัสดุเข้าไปติดขัด   ซึ่งรถบางรุ่นประมาณ  100,000 กม.หรือบางรุ่น 80,000 กม.ก็เริ่มมีอาการก็เริ่มส่งเสียงดัง แก๊กๆบ้าง  หรือหน้าคลัตซ์จับบ้างไม่จับบ้าง   ซึ่งจะส่งผลต่อความเย็นซึ่งหากเกิดอาการเช่นนี้แล้ว แนะนำให้รีบหาผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คด่วนครับ

8.  ตู้อลูมิเนียมกับตู้ทองแดงต่างกันอย่างไร

     ท่านผู้ใช้รถคงต้องมีการสงสัยกันบ้าง  รถรุ่นก่อนๆทำไมตู้แอร์ใช้ได้ทนทานนานเป็น 10 ปีแต่เดียวนี้อาจมีบ่นว่ารถเพิ่ง 5 ปีเอง ตู้รั่วมีปัญหาซะแล้ว ข้อดีของตู้อลูมิเนียมก็มีครับคือเปิดปุ๊บเย็นปั๊บและตู้ที่ทำจากทองแดงมีความทนทานต่อการผุกร่อนมากกว่า   อลูมิเนียมแต่ในเรื่องของน้ำหนักและคุณสมบัติในการนำความร้อนต้องยอมรับว่าทองแดงด้อยกว่าอะลูมิเนียม แต่ในปัจจุบันมีตู้บางรุ่นใช้วิธีผสมผสานโดยใช้วิธีแก้จุดด้อยคือบริเวณท่อน้ำยาที่คดไป-มาซึ่งมักจะผุกร่อนง่ายก็จะใช้ทองแดง  แต่ครีบจะทำจากอะลูมิเนียมเพราะมีการนำความร้อนได้ดีกว่านั่นเอง

9. จะล้างตู้แอร์แบบไหนดี

       ตามหลักการ  การถอดตู้แอร์ออกมาล้างย่อมสะอาดกว่าเนื่องจากเป็นการถอดชิ้นส่วนรวม

ถึงส่วนเล็กๆออกมาทำความสะอาด  ส่วนการล้างแบบไม่ถอดนั้นจะสะดวกและประหยัดเวลากว่าแต่ความสะอาดหมดจดคงต่างกันแน่นอนแต่ถ้าคุณดูแลรักษา  ตู้แอร์เป็นประจำ ล้างแอร์เป็นประจำอยู่แล้วการล้างโดยไม่ถอดตู้ก็คงจะเพียงพอที่จะช่วยให้ตู้แอร์คุณมีอายุการใช้งานที่นานขึ้นได้ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่เต็มที่ได้ เพราะระยะเวลาทุก ๆ 20,000 กม.คราบสกปรกคงไม่มากนักแต่ในความเป็นจริงของผู้ใช้รถน้อยคนนัก  ต้องบอกว่าน้อยถึงน้อยมากที่จะดูแลและไม่เคยล้างเลย แล้วจู่ ๆ เกิดมีอาการตู้แอร์ตันขึ้นมาอย่างนี้แน่นอนว่าคราบสิ่งสกปรกมันคงจะมีมากก็สมควรที่จะถอดมาล้างจะดีกว่า

10.  พัดลมกับคอมเพรชเซอร์ของคู่กัน

       อายุและการใช้งานของพัดลมระบบแอร์รถยนต์  และพัดลมระบายความร้อนหม้อน้ำรถบางรุ่น

อาจทำงานคู่กันเหมือนเป็นการทำงานเป็นระบบ   และเมื่อมีอาการเสียงดังแก๊กๆหรือรอบพัดลมตกจะรู้ได้เช่นไรก็ต้องอยู่ที่ผู้ใช้รถต้องหมั่นตรวจเช็คครับลองติดเครื่องแล้วดูว่าพัดลมรอบตกไหมหรือมีเสียงดังไหม  รถบางรุ่นถ้าพัดลมหน้า CONDENSER เสียจะส่งผลต่อระบบแอร์โดยตรง ทำให้ระบบระบายความร้อนไม่ได้เกิดความร้อนขึ้นหรือที่เรียกว่า ฮีทนะครับ  จะส่งผลต่อ COMPRSSOR ทำให้เกิดแรงดันสูงเกิดการรั่วผิดปรกติตามมา  ในที่สุดระบบแอร์ก็เสีย  คอมน๊อคเป็นต้น

11.   CONDENSER  (แผงแอร์) ควรดูแลอย่างไร

       รถที่วิ่งทางไกลในช่วงเวลากลางคืนหรือวิ่งในที่ที่มีฝุ่นละอองมากๆเช่น   ในกรุงเทพและปริมณฑลมักจะมีเศษแมลงหรือสิ่งอุดตันจับอยู่ที่ แผง CONDENSER เป็นจำนวนมาก และถ้าไม่ล้างหรือเป่าออกจะทำให้แผง CONDENSER ระบายความร้อนไม่สะดวก  การอุดตันจำนวนมากๆระบบแอร์จะระบายความร้อนไม่ดี วิธีการทำความสะอาดเบื้องต้นคือใช้น้ำฉีดล้างภายนอกไม่ต้องถอดออกมา  หรืออีกวิธีคือซื้อน้ำยาล้างแผงมาล้าง  จะทำให้แผงสะอาดและระบายความร้อนได้ดีขึ้น    แต่ถ้าไม่สามารถทำเองได้แนะนำให้ไปที่ร้านซ่อมแอร์ที่ท่านวางใจแล้วให้ช่างทำให้เลยครับ

12. วิธีถนอมและยืดอายุใช้งานแอร์รถ

         การใช้งานและดูแลเรื่องระบบแอร์ตามจุดเล็ก ๆ น้อยๆก็สามารถยืดอายุการใช้งานได้เช่นไม่ปรับตำแหน่งของเทอร์โมสตรัทไปที่ Cool  อยู่ตลอดเวลา    จะช่วยถนอมคอมเพรสเซอร์ไม่ให้ทำงานหนักตลอดเวลาหรือไม่เปิดกระจกเมื่อเปิดแอร์เพราะคอมเพรสเซอร์จะทำงานหนักขึ้น อาจใช้วิธีปิดการทำงานของคอมแอร์แต่ยังเปิดพัดลมอยู่ก่อนที่จะจอดรถ อย่างน้อยประมาณ 5 นาที    จะช่วยยืดอายุการใช้งานของคอมเพรสเซอร์ และลดกลิ่นอับชื้นและเชื้อราได้ด้วย และหมั่นล้าง   ตรวจเช็คระบบแอร์สม่ำเสมอ เมื่อเริ่มพบอาการผิดปกติ รีบนำไปพบช่างอย่าปล่อยไว้นานมิฉะนั้นท่านอาจต้องพบสุภาษิตที่ว่า  เสียน้อยเสียยาก  เสียมากเสียง่าย  ก็ได้นะครับ



 

 

              เรียบเรียงโดย

               ทีมงานสง่ามอเตอร์


             สาขาบางนา       โทร. 02-3165344-5  Fax : 02-3160465

            สาขารังสิต         โทร. 02-9017744-5  Fax : 02-9017745

            สาขาพระราม 3  โทร. 02-2915955      Fax : 02-2915956

  

             E-mail : [email protected]